ปลูกสับปะรดในร่มได้ ไม่ต้องง้อแดด

หน้าแรก จัดสวน ปลูกสับปะรดในร่มได้ ไม่ต้องง้อแดด

เข้าชม 3,061


   การปลูกสับปะรดดูเป็นเรื่องที่ไกลตัวสำหรับคนที่ไม่ได้มีอาชีพทำไร่ทำสวนแต่เราก็สามารถปลูกสับปะรดเอาไว้รับประทานเองในบ้านได้เหมือนกัน ถึงจะมีเนื้อที่ในบ้านไม่พอให้ทำสวนก็ไม่เป็นไร เพราะเราจะมาเหนือเมฆด้วยการลองปลูกสับปะรดในกระถางแทน ดูแลรดน้ำพรวนดินภายในบ้านโดยไม่ต้องพึ่งแสงแดดจ้า ๆ เลยล่ะ

          เพราะถึงแม้เราจะเคยเห็นไร่สับปะรดกลางแดดจ้ามาจนชินตา แต่ในความเป็นจริงแล้วสับปะรดก็เป็นผลไม้เขตเมืองร้อน เหมาะกับสภาพอากาศบ้านเราอยู่แล้ว ดังนั้นการปลูกสับปะรดในร่มรำไร ที่ไม่มีแดดจัด ๆ ส่องถึงเท่าไร ก็ถือว่าไม่เป็นปัญหา เพียงแต่อาจจะต้องยอมรับข้อด้อยของการปลูกสับปะรดในร่มบ้าง เป็นต้นว่า ผลสับปะรดที่ได้อาจจะมีขนาดเล็กกว่าผลสับปะรดที่ขายอยู่ตามท้องตลาด แต่ถ้าเลือกสับปะรดพันธุ์ดีมาปลูก รสชาติก็ไม่น่าจะต่างกันมากนัก ถ้าอย่างนั้นเรารีบมองหาพันธุ์สับปะรดไปลองปลูกกันเลยจ้า

 
 พันธุ์ของสับปะรด

สับปะรดที่ประเทศไทยนิยมปลูกจะมีอยู่ด้วยกัน 6 สายพันธุ์ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ

          1. สับปะรดพันธุ์สำหรับส่งโรงงาน ไปทำเป็นสัปปะรดกระป๋อง ซึ่งก็คือ สัปปะรดพันธุ์ปัตตาเวีย

          2. สับปะรดพันธุ์สำหรับบริโภค ได้แก่ พันธุ์นางแล, พันธุ์ภูเก็ต, พันธุ์ตราดสีทอง และพันธุ์สวี
 
วิธีปลูกสับปะรดในร่ม

1. คัดสับปะรดพันธุ์ดี

          ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ หรือผลไม้ชนิดไหน หัวใจของการปลูกพืชให้ได้คุณภาพดี ต้องมาจากพันธุ์พืชที่ดีเช่นกัน ฉะนั้นเราก็ควรเลือกผลสับปะรดที่เนื้ออิ่มแน่น จุกสับปะรดต้องเป็นสีเขียว ไม่เหลือง และไม่มีใบสีน้ำตาล ส่วนผลสับปะรดก็ควรมีสีเหลืองทอง ไม่เขียว หรืออ่อนจัดจนเกินไป ที่สำคัญต้องตรวจสอบให้แน่ใจด้วยว่า จุกของสับปะรดไม่มีแมลงมากัดกิน โดยสังเกตได้จากจุดสีเทาเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เกาะติดอยู่ตามใบ หากพบเจอแมลงกินพืชเหล่านี้ก็ต้องหาสับปะรดผลไม้มาเป็นพันธุ์แทน

          นอกจากนี้ผลสับปะรดที่เลือกต้องเป็นผลที่กำลังดี ไม่สุก หรืออ่อนจนเกินไป ซึ่งวิธีการตรวจสอบสับปะรดก็ทำไม่ยาก เพียงแค่ลองดึงจุกสับปะรดบา ๆ หากจุกสับปะรดหลุดออกอย่างง่ายดาย ก็แสดงว่า สับปะรดลูกนั้นสุกเกินไปที่จะนำมาเพาะเป็นพันธุ์แล้วล่ะค่ะ
 
2. เตรียมจุกสับปะรดสำหรับลงปลูก

          หลังจากได้ผลสับปะรดคุณภาพดีมาแล้ว (ควรคัดเลือกสัปปะรด 2 ลูก เพื่อป้องกันความผิดพลาด) ต่อจากนี้ให้คุณใช้มือบิดจุกสับปะรดออกมา โดยหลีกเลี่ยงการใช้มีดตัดจุกสับปะรด เพราะความคมของมีดอาจจะทำให้คุณตัดสับปะรดเข้าถึงเนื้อ เป็นเหตุให้สับปะรดเน่าเสียทั้งลูกได้

          เมื่อบิดจุกสับปะรดออกมาได้แล้ว คราวนี้ให้ใช้มีดค่อย ๆ เล็มโคนจุกสับปะรดให้มีลักษณะ เรียบเสมอกัน โดยในระหว่างที่ใช้มีปาดบาง ๆ ก็พยายามสังเกตด้วยว่า เราปาดถึงเนื้อเยื่อ และรากของสับปะรด (ปุ่มกลม ๆ เล็ก ๆ ลักษณะคล้ายตาสับปะรด) แล้วหรือยัง ถ้าปาดจนเริ่มเห็นรากสับปะรดแล้ว ขั้นต่อไปให้ดึงกาบใบสับปะรด โดยเริ่มจากส่วนโคนจุกสับปะรดก่อน ดึงกาบใบออกไปเรื่อย ๆ ประมาณ 3-4 ชั้น เป็นการเปิดทางให้รากงอกออกมาได้สะดวกขึ้น แต่ก่อนจะนำจุกสับปะรดปักล งกระถาง ควรตากจุกสับปะรดประมาณ 2-3 วัน โดยคว่ำยอดจุกลงสู่พื้นดิน เพื่อฆ่าเชื้อโรค และให้แสงแดดเลียรอยแผลจนแห้ง และรัดตัว ป้องกันจุกสับปะรดเน่าเสีย

3. เพาะพันธุ์ขยายราก

          เมื่อเราได้จุกสับปะรด และทำการเปิดรากสับปะรดเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะนำจุกสับปะรดไปปลูก ต้องนำมาแช่น้ำเพื่อขยายรากสับปะรดก่อน โดยขั้นตอนนี้ให้ใช้โหลพลาสติก หรือแก้วขนาดใหญ่ ใส่น้ำสะอาด แล้วนำจุกสับปะรดไปปักแช่ไว้ประมาณ 3 สัปดาห์ และระหว่างนั้นก็ต้องเปลี่ยนน้ำในขวดโหลทุก ๆ 2-3 วันด้วย ทั้งนี้ควรวางขวดโหลไว้ในห้องที่มีอุณหภูมิปกติ คือ ไม่ร้อนจัด หรือเย็นจัดเกินไป หรืออาจจะวางขวดโหลไว้บนหลังตู้เย็นก็ได้ค่ะ
 

4. ปลูกลงกระถาง

          หลังจากเพาะจนรากสับปะรดเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ให้คุณเตรียมกระถางสำหรับปลูกสับปะรดได้เลย โดยเลือกกระถางปลูกต้นไม้ความสูงประมาณ 8 นิ้ว และมีรูระบายน้ำมากพอสมควร จากนั้นรองก้นกระถางด้วยหิน เทให้หนาประมาณ 2 นิ้ว ตามด้วยลงดินร่วนซุยผสมปุ๋ยคอกในอัตราส่วน 50 ต่อ 50 เสร็จแล้วให้ปักจุกสับปะรดลงไป กลบดินให้แน่น

          ทั้งนี้ในระยะแรกให้คุณหมั่นรดน้ำต้นสับปะรดพอประมาณ รักษาระดับความชื้นของดินให้สมดุล ไม่เปียกจัด และไม่แห้งระแหงจนเกินไป ที่สำคัญในช่วง 6-8 สัปดาห์แรก จะเป็นช่วงที่รากสับปะรดกำลังเติบโต และสร้างความแข็งแรงให้ตัวเอง ดังนั้นทางที่ดีอย่าเพิ่งใส่ปุ๋ย หรือรบกวนต้นสับปะรดนะคะ และหลังจากนั้นประมาณ 2 เดือน รากของต้นสับปะรดจะเริ่มแข็งแรง พร้อมจะงอกหน่อ ซึ่งหากอยากตรวจสอบความสมบูรณ์แข็งแรงของราก ก็ทำได้โดยลองดึงจุกสับปะรดเบา ๆ หากต้นสับปะรดยึดเกาะกับดินในกระถางอย่างเหนียวแน่น ก็หมายความว่ารากมีความแข็งแรงมากพอแล้ว และในระยะนี้คุณจะเริ่มเห็นต้นสับปะรดงอกรากใหม่แล้วล่ะค่ะ

          แต่ในกรณีที่รากสับปะรดยังอ่อนแอ หรือมีปัญหาเกิดขึ้น คุณจะสามารถดึงจุกสับปะรดออกมาจากกระถางได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเมื่อเจอแบบนี้ก็คงต้องตรวจ สอบความผิดปกติกันหน่อย ง่าย ๆ ก็แค่สำรวจดูรากว่าเน่า หรือมีเชื้อรารบกวนหรือไม่ และถ้าเจอปัญหาเหล่านี้ ก็คงต้องเริ่มกระบวนการเพาะจุกสับปะรดกันใหม่ตั้งแต่ต้นเลยล่ะ แต่คราวนี้อย่าเผลอมือหนักรดน้ำจนชุ่มแฉะเกินไปนะคะ
 
5. เฝ้าดูการเจริญเติบโต

          การปลูกสับปะรดต้องอย่าใจร้อน เพราะกว่าสับปะรดจะโตพอจะแตกหน่อข้างได้ก็ใช้เวลาร่วมปีกว่า ๆ ซึ่งในระหว่างนั้นคุณก็อาจจะเจอปัญหาใบตรงกลางจุกงอกขึ้นใหม่ ในขณะที่ใบข้าง ๆ ที่เป็นใบเดิมที่ติดมากับจุกกลับกลายเป็นใบสีเหลือง หรือเน่าไปก็มี แต่ปัญหานี้แก้ไขได้ด้วยการริดใบเหลืองทิ้ง และจำกัดปริมาณการรดน้ำสับปะรดเพียงสัปดาห์ละครั้งเท่านั้นก็พอ
 
6. เปลี่ยนกระถางเมื่อถึงเวลา

          ทันทีที่สังเกตเห็นว่า ต้นสับปะรดเจริญเติบโตดีวันดีคืน จนเริ่มจะใหญ่โตคับกระถาง ก็สมควรแก่เวลาต้องหากระถางขนาดใหญ่กว่าเดิมมาเปลี่ยนที่อยู่ให้เขาแล้วล่ะค่ะ โดยการเปลี่ยนกระถางแต่ละครั้ง ก็ควรถือโอกาสเปลี่ยนดินไปด้วยเลย ซึ่งครั้งนี้คุณอาจจะเพิ่มปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยบำรุงผลเข้าไปอีกก็ได้ แต่ที่สำคัญคือต้องเหลือช่องว่างก้นกระถาง ให้น้ำระบายออกไปได้อย่างสะดวก หมดปัญหาดินชื้นแฉะจนรากเน่าเสียอีกต่อไป ทั้งนี้คุณอาจจะใช้เทคนิควางก้อนอิฐ หรือก้อนหินไว้ที่ก้นกระถาง เหมือนอย่างตอนปลูกสับปะรดกระถางที่แล้วก็ได้ แล้วอย่าลืมกดหน้าดินให้
แน่นสักหน่อย รากจะได้อยู่ภายใต้ดินอย่างมั่นคง
การดูแลทั่วไป

1. แสงแดด และอุณหภูมิที่เหมาะสม

          เนื่องจากสับปะรดเป็นพืชเขตร้อน เราจึงต้องวางกระถางต้นสับปะรดไว้ในมุมที่แดดส่องถึงอย่างน้อย 6 ชั่วโมง และควรรักษาอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ประมาณ 24-30 องศาเซลเซียส หรือถ้าวันไหนที่แดดดี จะนำกระถางต้นสับปะรดไปตากแดดจัด ๆ ก็จะดีมาก เพราะช่วยเสริมให้สับปะรดเติบโตอย่างมีชีวิตชีวามากขึ้น อีกทั้งยังเสริมภูมิคุ้มกันโรคพืช และศัตรูพืชได้ด้วย

          แต่หากคุณไม่สามารถจัดวางกระถางต้นสับปะรดในจุดที่มีแดดส่องถึงได้ แนะนำให้ใช้หลอดไฟฟลูออเรสเซ้นส์เปิดอนุบาลต้นสับปะรดวันละประมาณ 12-14 ชั่วโมง ในช่วงแรก ๆ จนกว่าที่ต้นสับปะรดจะโตและเริ่มมีดอกออกผล ค่อยลดการใช้ไฟเป็นวันละ 10-11 ชั่วโมงในเวลาต่อมา
 
2. การรดน้ำ

          สับปะรดเป็นพืชที่ไม่ต้องการน้ำมาก ยิ่งปลูกในร่มก็ควรรดน้ำสัปดาห์ละครั้งก็พอ และการรดน้ำแต่ละครั้ง ก็ควรให้น้ำในปริมาณที่พอดี ไม่ทำให้ดินอมน้ำมากจนแฉะเกินไป แต่ก็ไม่ควรลดน้ำน้อยจนดินขาดความชุ่มชื้น
 
3. การให้ปุ๋ย

          เพื่อการเจริญเติบโตที่ดีของต้นสับปะรด เราควรให้ปุ๋ยฟอสฟอรัส โพรแทสเซียม และไนโตรเจนอย่างสม่ำเสมอเดือนละ 1 ครั้ง โดยให้ปุ๋ยในปริมาณเล็กน้อยก็พอ ซึ่งจะเลือกให้ปุ๋ยทางกาบใบ ด้วยการโรยปุ๋ยบริเวณกาบใบล่างของต้น หรือให้ปุ๋ยชนิดเหลว ด้วยการฉีดพ่นกาบใบ หรือราดบนหน้าดินรอบ ๆ ก็ได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ต้องระวังอย่าใส่ปุ๋ยที่โคนต้นโดยตรง เพราะอาจจะทำให้รากเกิดความเสียหายได้
 
4. โรคพืช และศัตรูพืช

          ศัตรูพืชที่มักจะมาก่อกวนต้นสับปะรด คือ ไร เชื้อรา และอาการตกสะเก็ด ซึ่งสามารถจำได้โดยการล้างกาบใบด้วยน้ำสบู่อ่อน ๆ ส่วนโรคพืชที่พบบ่อยจะเป็นโรครากเน่า รากเกิดเชื้อรา สังเกตได้ง่าย ๆ จากการที่กาบใบตรงกลางเป็นสีน้ำตาลคล้ำออกดำ และเวลาที่ดึงจุกสับปะรด รากก็จะหลุดออกมาได้โดยง่าย ซึ่งสาเหตุของโรคพืชเหล่านี้ก็มาจากการรดน้ำมากเกินไป รวมทั้งการใส่ปุ๋ยตรงกลางลำต้น ทำลายเนื้อเยื่อของรากให้เน่าตายนั่นเอง และนี่ก็เป็นเหตุผลว่า ทำไมเราจึงต้องระมัดระวังการรดน้ำ และให้ปุ๋ยต้นสับปะรดให้มาก
 
การออกดอก และผล

          แม้พื้นฐานของสับปะรดจะเป็นผลไม้เนื้อหวานฉ่ำ แต่ในระหว่างที่รอคอยผลผลิตนานนับปี เราจะมีโอกาสได้เห็นดอกของสับปะรดในช่วงเดือนที่ 12 ถึงเดือนที่ 14 ในขณะที่ต้นสับปะรดเจริญเติบโตได้ประมาณ 21 นิ้วเป็นต้นไป ตรงกลางของจุกจะผลิดอกสีแดงสดออกมาให้เราได้ชมจนชื่นใจ แต่สำหรับผลผลิตที่เรารอคอย จะเริ่มแตกหน่อประมาณเดือนที่ 20 และจะใช้เวลาเติบโต จนกว่าจะสุกงอมพร้อมรับประทานในเดือนที่ 24-26 เป็นต้นไป

การบังคับดอก

          เนื่องจากเราปลูกต้นสับปะรดด้วยวิธีบ้าน ๆ อีกทั้งยังปลูกสับปะรดในจำนวนน้อย จึงอาจจะไม่เหมาะเท่าไรนัก หากจะใช้สารเคมีเร่งดอก แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็สามารถใช้วิธีบ้าน ๆ บังคับดอกสับปะรดได้เช่นกัน เพียงแค่นำกระถางต้นสับปะรดใส่ลงไปในถุงที่มีผลแอปเปิลสุกงอม (ช้ำจนเกือบจะเน่านิดหน่อยก็ได้) จากนั้นวางถุงทิ้งไว้ในที่ที่มีแสงแดดรำไร นานเป็นเวลา 2 สัปดาห์ หลังจากนั้นค่อยนำถุงต้นสับปะรดไปตากแดดจัด ผลแอปเปิลสุกจะปล่อยก๊าซเอธิลีนออกมา เร่งต้นสับปะรดให้ออกดอกเร็วขึ้นได้

          หรือคุณจะใช้วิธีวางก้อนแคลเซียม คาร์ไบด์ (Calcium Carbide) ปริมาณเพียงแค่นิ้วก้อยเล็ก ๆ ของเรา ตรงบริเวณโคนต้น แล้วรดน้ำประมาณ ¼ ถ้วยตวงตามลงไป วิธีนี้ก็จะช่วยให้เกิดสารเอธิลีน เร่งดอกสับปะรดอีกทางหนึ่งได้ แต่ทั้งนี้คุณควรทำในช่วงตกเย็น หรือเวลากลางคืนจะได้ผลดีที่สุด
 
ระยะเวลาที่ควรเก็บเกี่ยว

          เมื่อสับปะรดออกผลแล้ว ตามปกติจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน กว่าที่ผลสับปะรดจะเปลี่ยนจากสีเขียว สด แล้วค่อย ๆ เป็นสีเหลืองจากด้านล่าง ไล่ระดับไปจนถึงผลด้านบน และกลายเป็นสีเหลืองทองทั้งลูก บ่งบอกถึงความสุกงอมเต็มที่ แต่ถ้าใครใจร้อน จะรอให้ผลสับปะรดเหลืองแค่กลางลูก หรือเป็นสีเหลืองประมาณ 10% ก็ถือว่าใช้ได้แล้วล่ะค่ะ ทั้งนี้ผลสับปะรดจะมีน้ำหนักประมาณ 1-2 กิโลกรัม ลิ้มรสผลไม้ลูกแรกในชีวิตให้อิ่มหนำกันได้เลย
 
หลังการเก็บเกี่ยว

          ต้นสับปะรดหลังการเก็บกี่ยว จะสามารถไว้ตอได้ประมาณ 1-2 ครั้ง โดยให้คุณตัดต้นสับปะรดในระดับเหนือดินประมาณ 20-30 เซนติเมตร จากนั้นใช้พืชคลุมดินป้องกันวัชพืช และเก็บรักษาความชุ่มชื้น ในระหว่างนั้นก็รดน้ำดูแลต่อไปอีกสักประมาณ 2-3 เดือน ต้นสับปะรดจะเริ่มแตกหน่อข้างออกมา และเติบโตจนออกผลได้อีกครั้ง
 
  
        แม้ว่าการปลูกสับปะรดเพื่อกินผลจะต้องรอนานนับปี แต่เราเชื่อว่า หากใครได้กินสับปะรดที่ตัวเองทุ่มเทแรงกายแรงใจปลูก และดูแลมาตลอด ก็คงต้องภูมิใจ และกินสับปะรดผลนั้นได้อร่อยกว่าครั้งไหน ๆ แน่นอนจ้า


 


ขอขอบคุณ: home.kapook.com